การจัดเก็บสารเคมีให้ถูกต้องตามคุณสมบัติของสารแต่ละชนิดถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ เช่น การรั่วไหล, การระเบิด, หรือการปนเปื้อนของสารเคมีที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานหรือสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การจัดเก็บสารเคมีมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ควรมีการศึกษาและปฏิบัติตามมาตรฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ประเภทของสารเคมีตามคุณสมบัติ
เพื่อให้สามารถจัดเก็บสารเคมีได้อย่างถูกต้อง ควรเริ่มจากการแบ่งประเภทของสารเคมีตามคุณสมบัติหลักๆ ของสาร เช่น ความไวไฟ ความกัดกร่อน ความเป็นพิษ ความไวต่อความชื้น หรือความเป็นออกซิไดซ์ การจำแนกประเภทนี้จะช่วยให้สามารถเลือกวิธีการจัดเก็บที่เหมาะสม และลดโอกาสที่สารเคมีจะทำปฏิกิริยาซึ่งกันและกัน ดังนี้
- สารไวไฟ: สารเคมีที่สามารถระเบิดหรือลุกไหม้ได้อย่างง่ายดาย
- สารออกซิไดซ์: สารที่สามารถเกิดปฏิกิริยากับสารอื่นและปล่อยออกซิเจนออกมา ทำให้เกิดการลุกไหม้หรือการระเบิดได้
- สารกัดกร่อน: สารที่สามารถทำลายพื้นผิวหรือวัสดุอื่นๆ และทำให้เกิดการกัดกร่อนได้
- สารพิษ: สารที่เมื่อถูกดูดซึมหรือเข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ
- สารที่ไวต่อความชื้น: สารที่เมื่อสัมผัสกับความชื้นจะทำให้เกิดปฏิกิริยาที่อาจเกิดอันตรายได้ เช่น สารเคมีที่เกิดความร้อนหรือระเบิดเมื่อสัมผัสกับน้ำ
หลักการจัดเก็บสารเคมีตามประเภท
1. สารออกซิไดซ์
สารออกซิไดซ์ เช่น ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต และไนเตรท อาจทำให้เกิดการลุกไหม้หรือการระเบิดได้หากสัมผัสกับสารเคมีอื่น จึงต้องจัดเก็บให้ห่างจากสารไวไฟและสารเคมีที่เป็นกรด:
-
- เก็บสารออกซิไดซ์ในภาชนะที่ทำจากวัสดุที่ไม่ทำปฏิกิริยากับสาร เช่น แก้วหรือพลาสติกที่ทนทาน
- ห้ามเก็บสารออกซิไดซ์ใกล้กับสารอินทรีย์หรือสารเคมีที่มีคุณสมบัติไวไฟ
- ควรติดตั้งระบบระบายอากาศในบริเวณที่เก็บสารเพื่อป้องกันการสะสมของไอระเหย
2. สารกัดกร่อน
สารกัดกร่อน เช่น กรดซัลฟูริก ไฮโดรคลอริก และโซเดียมไฮดรอกไซด์ มีความสามารถในการทำลายพื้นผิวของวัสดุหรือทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อร่างกาย ดังนั้น การเก็บสารกัดกร่อนควรปฏิบัติดังนี้:
-
- เก็บสารกัดกร่อนในภาชนะที่ทำจากวัสดุที่ทนต่อการกัดกร่อน เช่น พลาสติกหรือแก้วพิเศษที่ออกแบบมาสำหรับเก็บสารเคมีชนิดนี้
- จัดเก็บในตู้ที่มีระบบป้องกันการรั่วไหล เช่น ตู้ที่มีถาดรองรับของเหลวเพื่อป้องกันการรั่วไหลของสาร
- อย่าเก็บสารกัดกร่อนในที่สูงเกินไป เนื่องจากการหกหรือรั่วไหลของสารอาจทำให้เกิดอันตรายเมื่อสัมผัสกับผิวหนัง
3. สารพิษ
สารพิษ เช่น สารตะกั่ว คลอโรฟอร์ม และไซยาไนด์ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพได้ง่ายเมื่อมีการสัมผัสหรือสูดดม จึงควรเก็บในบริเวณที่มีความปลอดภัยสูง:
-
- เก็บในที่ล็อกและควบคุมการเข้าถึงเฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
- ภาชนะบรรจุควรมีป้ายเตือนที่ชัดเจนและทนทาน เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ปฏิบัติงานรู้ถึงอันตรายของสาร
- ควรติดตั้งระบบระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพในห้องเก็บสาร เพื่อป้องกันการสะสมของสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
4. สารไวไฟ
สารเคมีไวไฟ ได้แก่ แอลกอฮอล์, น้ำมันเบนซิน, โทลูอีน, และอะเซทอน ควรจัดเก็บในที่แยกต่างหากจากสารเคมีประเภทอื่น โดยควรปฏิบัติดังนี้:
-
- เก็บในที่เย็นและมีอากาศถ่ายเทสะดวก ห่างไกลจากแหล่งจุดติดไฟ เช่น เครื่องทำความร้อน หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่อาจก่อให้เกิดประกายไฟ
- ใช้ตู้เก็บสารไวไฟที่มีคุณสมบัติป้องกันการลุกไหม้ มีวัสดุป้องกันความร้อน และควรล็อกตู้เพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
- ติดตั้งป้ายเตือนที่ชัดเจน เช่น ป้าย “สารไวไฟ” หรือ “ห้ามใช้ไฟในบริเวณนี้” เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานระมัดระวัง
5. สารที่ไวต่อความชื้น
สารบางชนิดเมื่อสัมผัสกับความชื้นหรือไอน้ำจะทำให้เกิดปฏิกิริยาที่อันตราย เช่น การระเบิดหรือการลุกไหม้ สารเหล่านี้ เช่น โซเดียม และลิเธียม จึงควรเก็บในสภาพแวดล้อมที่แห้งสนิท:
-
- เก็บสารเหล่านี้ในภาชนะที่ปิดผนึกอย่างแน่นหนา และเก็บในบริเวณที่ปราศจากความชื้น เช่น ในห้องแห้งที่มีระบบควบคุมความชื้น
- ตรวจสอบภาชนะบรรจุอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการรั่วซึมของสารหรือการชื้นที่อาจทำให้สารเกิดปฏิกิริยา
- หลีกเลี่ยงการเก็บสารเหล่านี้ใกล้กับแหล่งน้ำหรือสถานที่ที่มีความชื้นสูง
ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติมในการจัดเก็บสารเคมี
1. ติดป้ายเตือนและระบบฉลากที่ชัดเจน
ติดฉลากที่ถูกต้องและชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการจัดเก็บสารเคมี ควรติดฉลากทุกภาชนะที่เก็บสารเคมีระบุข้อมูลที่สำคัญ เช่น ชื่อสารเคมี ประเภทของสาร อันตรายที่เกี่ยวข้อง และข้อควรระวังในการจัดการ นอกจากนี้ ควรมีเอกสารข้อมูลความปลอดภัย (Safety Data Sheet: SDS) สำหรับสารเคมีทุกชนิดที่ใช้ภายในสถานประกอบการ
2. ออกแบบระบายอากาศที่เพียงพอ
เริ่มต้นจากการประเมินความเสี่ยงของสารเคมีที่จัดเก็บ เช่น ชนิดของสารเคมี, ปริมาณ, และลักษณะของการใช้งานในพื้นที่นั้นๆ โดยทั่วไปแล้ว ระบบระบายอากาศควรมีคุณสมบัติที่สามารถถ่ายเทอากาศเสียออกจากพื้นที่จัดเก็บและนำอากาศบริสุทธิ์เข้ามาแทนที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับห้องที่จัดเก็บสารเคมีที่ระเหยง่าย เช่น ตัวทำละลายและสารไวไฟ ควรติดตั้งระบบระบายอากาศแบบสูญญากาศ เพื่อดึงไอระเหยที่เกิดขึ้นโดยตรงจากจุดที่มีการจัดเก็บหรือใช้งานสารเคมีออกไปยังภายนอก ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ไอระเหยสะสมอยู่ในพื้นที่และลดความเสี่ยงของการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิด นอกจากนี้ ควรติดตั้งช่องระบายอากาศหรือหน้าต่างที่สามารถเปิด-ปิดได้เพื่อเพิ่มการถ่ายเทของอากาศในกรณีที่มีการรั่วไหลของสารเคมี
3. เก็บสารในภาชนะที่ถูกต้อง ตามประเภทสารเคมี
การเลือกใช้ภาชนะที่ไม่เหมาะสมอาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่เป็นอันตราย หรือทำให้สารเคมีรั่วไหลและปนเปื้อนสู่อากาศหรือสิ่งแวดล้อมได้ การเลือกภาชนะบรรจุจึงควรพิจารณาตามคุณสมบัติของสารเคมีแต่ละชนิด เพื่อให้มั่นใจว่าภาชนะที่เลือกใช้สามารถทนต่อการกัดกร่อนและป้องกันการรั่วไหลได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าง สารเคมีที่มีคุณสมบัติกัดกร่อน เช่น กรดและเบสเข้มข้น ควรใช้ภาชนะที่ทำจากวัสดุที่ทนทานต่อการกัดกร่อน เช่น แก้วบอโรซิลิเกต (Borosilicate Glass) หรือพลาสติกชนิดพิเศษที่ทนกรด-ด่าง เช่น โพลีเอทิลีน (Polyethylene, PE) และโพลีโพรพิลีน (Polypropylene, PP)
4. เข้าฝึกอบรมการทำงานกับสารเคมี
การฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดเก็บและการปฏิบัติงานกับสารเคมีเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การรั่วไหลของสาร การจัดการกับสารเคมีที่หก หรือการใช้ชุดป้องกันส่วนบุคคล (PPE) นอกจากนี้ยังเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย ก่อนพนักงานปฏิบัติงานต้องผ่านการอบรมหลักสูตรการทำงานกับสารเคมี และต้องมีการทบทวนความรู้ ปีละ 1 ครั้ง
หากคุณกำลังมองหาคอรืสอบรมการทำงานกับสารเคมี สำหรับพนักงานที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี วันนี้!!! บริษัทเซฟตี้เมมเบอร์ เราเปิดสอน อบรมสารเคมี in house พร้อมเดินทางไปสอนคุณลูกค้าถึงสถานที่ สมัครวันนี้ลด 40% ติดต่อ : 064 – 958 – 7451 (คุณแนน)
สรุป
การจัดเก็บสารเคมีให้ตรงตามคุณสมบัติของสารแต่ละชนิดเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุหรือการปนเปื้อน การเลือกใช้วิธีการจัดเก็บที่เหมาะสม เช่น การจัดเก็บสารไวไฟในตู้พิเศษ, การจัดเก็บสารกัดกร่อนในภาชนะที่ทนทาน, หรือการจัดเก็บสารที่ไวต่อความชื้นในสภาพแวดล้อมที่แห้งสนิท จะช่วยให้การทำงานกับสารเคมีปลอดภัยยิ่งขึ้น